ลูกยังไม่ท้อ
เหตุผลที่ชอบเพลง"ลูกยังไม่ท้อ"
เนื่องมาจากผมเป็นคนมีนิสัยเป็นคนใจร้อนบางครั้งก็มีบางที่ขี้เกลียดผลัดวันประกันพุ่งท้อแท้ในบางครั้ง เมื่อผมฟังเพลงนี้จะทำให้ผมคิดถึงคำสอนของแม่เพลงนี้ก็จะคอยเตือนสติผมไม่ให้วู่วามเพลงนี้จะทำให้ผมคิดถึงแม่ตลอดทำให้ผมทำผิดน้อยลง แม้หากวันไหนท้อเพลงนี้ก็ทำให้ผมสู้ เตือนให้ผมรู้หน้าที่ของผมในตอนนั้นว่าผมมีหน้าที่ทำอะไร และทำให้ผมยังมาเรียนในทุกวันนี้ทำให้ผมตั้งใจเรียนในวันที่ผมขี้เกลียด เหมือนมีแม่อยู่ข้างๆ คอยเตือนไม่ให้ทำผิดอยู่ตลอดคร้าบ
Prayat Sripakdee Blog
วันศุกร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2556
วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2556
ค้นหาข่าวเรื่องราวที่เป็นปัจจุบันของอินเทอร์เน็ตและการสื่อสารข้อมูล(ระบบโทรศัพท์)
ทรูวิชั่นส์ลุยตลาดอินเตอร์เน็ต ยิงสดพรีเมียร์ลีกครบ380นัด

"ทรูวิชั่นส์" ผู้นำด้านการถ่ายทอดสดกีฬาอันดับหนึ่ง ผู้รับสิทธิ์การถ่ายทอดสด ลีกฟุตบอลอันดับ 1 ของโลก "พรีเมียร์ลีกอังกฤษ" เอาใจแฟนบอลให้ครบถ้วนทุกการรับชม
ล่าสุดเปิดบริการ "ทรูวิชั่นส์อินเตอร์เน็ตทีวี" ให้รับชม พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในราคา เพียง 350 บาทต่อเดือน ชมได้ครบ 380 แมตช์ โดยชมสดสูงสุด 5 คู่ต่อสัปดาห์ ชมได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านทั้งคอมพิวเตอร์ แท็ปเลต และสมาร์ทโฟน รับชมผ่านได้ทุกเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ และอินเตอร์เน็ต
นายองอาจ ประภากมล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สาย Commercial บมจ. ทรูวิชั่นส์ กล่าวว่า "ทรูวิชั่นส์ได้พัฒนาเทคโนโลยีตอบสนองไลฟ์สไตล์ผู้ชม ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายทอดสดด้วยสัญญาณเอชดี หรือแม้แต่บริการ เอชดีพีวีอาร์ ที่สามารถตอบสนองการรับชมได้อย่างเต็มอรรรถรส เช่น การหยุดภาพสด การย้อนหลังภาพประทับใจ
นายองอาจ ประภากมล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สาย Commercial บมจ. ทรูวิชั่นส์ กล่าวว่า "ทรูวิชั่นส์ได้พัฒนาเทคโนโลยีตอบสนองไลฟ์สไตล์ผู้ชม ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายทอดสดด้วยสัญญาณเอชดี หรือแม้แต่บริการ เอชดีพีวีอาร์ ที่สามารถตอบสนองการรับชมได้อย่างเต็มอรรรถรส เช่น การหยุดภาพสด การย้อนหลังภาพประทับใจ
หรือการอัดแมตช์ต่างๆ ได้ดังใจเพียงปลายนิ้วสัมผัส และล่าสุดกับบริการ "ทรูวิชั่นส์อินเตอร์เน็ตทีวี" ที่จะทำให้แฟนบอลได้รับชมการถ่ายทอดสดฟุตบอลอันดับหนึ่งของโลกอย่างพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ได้ทุกที่ทุกเวลา ผ่านทุกเครือข่ายมือถือและอินเตอร์เน็ต ผ่านคอมพิวเตอร์ แท็ปเลต หรือสมาร์ทโฟน ด้วยราคาเพียง 350 บาทต่อเดือน ที่เข้าถึงได้ทุกบริการจาก "ทรูวิชั่นส์อินเตอร์เน็ตทีวี"
ทั้งชมพรีเมียร์ลีกครบ 380 แมตช์ โดยชมสดสูงสุด 5 คู่ต่อสัปดาห์ การรับชมแมตช์รีรัน หรือการรับชมแมตช์ย้อนหลังตามสั่งได้ดั่งใจหลังจากการแข่งขันใน 7 วัน
บริการ "ทรูวิชั่นส์อินเตอร์เน็ตทีวี" ที่รับชมพรีเมียร์ลีกอังกฤษ พุ่งเป้าไปที่ลูกค้า 2 กลุ่มคือ กลุ่มที่ 1 แฟนบอลคนรุ่นใหม่ที่ใช้อินเตอร์เน็ตผ่านคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป หรือแล็ปท็อป กลุ่มที่ 2 แฟนบอลที่ใช้เวลาอยู่นอกบ้านเป็นส่วนใหญ่ ทั้งทำงานนอกบ้านหรือเดินทางไม่อยู่กับที่
บริการ "ทรูวิชั่นส์อินเตอร์เน็ตทีวี" ที่รับชมพรีเมียร์ลีกอังกฤษ พุ่งเป้าไปที่ลูกค้า 2 กลุ่มคือ กลุ่มที่ 1 แฟนบอลคนรุ่นใหม่ที่ใช้อินเตอร์เน็ตผ่านคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป หรือแล็ปท็อป กลุ่มที่ 2 แฟนบอลที่ใช้เวลาอยู่นอกบ้านเป็นส่วนใหญ่ ทั้งทำงานนอกบ้านหรือเดินทางไม่อยู่กับที่
โดยจะรับชมผ่านอุปกรณ์แท็ปเลต หรือสมาร์ทโฟนได้อย่างง่ายดายตลอดเวลา โดยแฟนบอลที่ต้องการรับชม สามารถชมผ่านเว็บ pl.truevisions.tv หรือจะดูผ่าน Apple Application คำค้นหา "TrueVisions PL" จากแอปสโตร์ของไอโฟน (ให้บริการสิ้นเดือนสิงหาคมนี้)
และสำหรับผู้ที่ใช้สมาร์ตทโฟนหรือแท็ปเลตที่ใช้ระบบปฎิบัติการแอนดรอย พร้อมให้บริการภายในเดือนกันยายนนี้ รวมถึงการถ่ายทอดสดฟุตบอลที่เป็นที่นิยมอื่นๆ เช่น ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก ก็จะนำมาให้ชมกันในบริการนี้ในเฟสต่อไป พร้อมกันนี้ยังเชื่อมั่นว่าบริการนี้จะได้รับการตอบรับที่ดีจากแฟนบอลชาวไทย มุ่งเป้า 1 แสนภายในสิ้นปี 55 นี้"
ทรูวิชั่นส์มั่นใจว่า การนำบริการ "ทรูวิชั่นส์อินเตอร์เน็ตทีวี" จะเป็นอีกหนึ่งจิ๊กซอว์ที่ให้การรับชมพรีเมียร์ลีกอังกฤษฤดูกาล 2012/2013 ของแฟนบอลชาวไทยครบถ้วนสมบูรณ์ พร้อมกันนี้จะยิ่งตอกย้ำให้ทรูวิชั่นส์ผู้นำด้านการบริหารลิขลิทธิ์อันดับหนึ่ง นอกเหนือไปจากการนำทุกแมตช์มาออกอากาศได้เต็มครบ 380 แมตช์
ทรูวิชั่นส์มั่นใจว่า การนำบริการ "ทรูวิชั่นส์อินเตอร์เน็ตทีวี" จะเป็นอีกหนึ่งจิ๊กซอว์ที่ให้การรับชมพรีเมียร์ลีกอังกฤษฤดูกาล 2012/2013 ของแฟนบอลชาวไทยครบถ้วนสมบูรณ์ พร้อมกันนี้จะยิ่งตอกย้ำให้ทรูวิชั่นส์ผู้นำด้านการบริหารลิขลิทธิ์อันดับหนึ่ง นอกเหนือไปจากการนำทุกแมตช์มาออกอากาศได้เต็มครบ 380 แมตช์
และบริการนี้จะทำให้ไลฟ์สไตล์การชมฟุตบอลของแฟนบอล ไม่จำกัดอยู่แค่จอโทรทัศน์อย่างเดียวอีกต่อไป โดยทรูวิชั่นส์จะมุ่งมั่นพัฒนาบริการอื่นๆ ผ่านโลกออนไลน์ให้ครบถ้วนสมบูรณ์แบบที่สุด
อีกหนึ่งความพิเศษ...ด้วยยุทธศาสตร์คอนเวอร์เจนซ์ไลฟ์สไตล์ของกลุ่มทรู ที่จะมอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าทรู โดยลูกค้าทรูออนไลน์ปัจจุบัน เมื่อสมัครบริการทรูวิชั่นส์อินเตอร์เน็ตทีวีเพื่อรับชมพรีเมียร์ลีก รับสิทธิ์อัพสปีด ฟรี 1 เดือน
อีกหนึ่งความพิเศษ...ด้วยยุทธศาสตร์คอนเวอร์เจนซ์ไลฟ์สไตล์ของกลุ่มทรู ที่จะมอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าทรู โดยลูกค้าทรูออนไลน์ปัจจุบัน เมื่อสมัครบริการทรูวิชั่นส์อินเตอร์เน็ตทีวีเพื่อรับชมพรีเมียร์ลีก รับสิทธิ์อัพสปีด ฟรี 1 เดือน
และเมื่อเชื่อมอินเตอร์เน็ตหรือไวไฟ ผ่านทรูออนไลน์ รับชมภาพด้วยความคมชัดแบบเอชดี สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียได้ทาง 1689 หรือส่ง e-mail สอบถามไปที่ appsupport@truevisions.tv เเละ pl.truevisions.tv รวมทั้ง Facebook.com/truevisions
ที่มา : http://www.sanook.com
วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
Moore's law
กฎของมัวร์ (Moore's law)
กฎของมัวร์ (Moore's law) อธิบายถึง ปริมาณของทรานซิสเตอร์บนวงจรรวม โดยจะเพิ่มเป็นเท่าตัวประมาณทุก ๆ สองปี[1] กฎนี้ได้ถูกพิสูจน์อย่างต่อเนื่องมาแล้วกว่าครึ่งศตวรรษ และคาดว่าจะใช้ได้จนถึงปี 2015 หรือ 2020 หรืออาจมากกว่านั้น
ความสามารถของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากมาย เป็นไปตามกฎของมัวร์อย่างเห็นได้ชัด เช่น ความเร็วประมวลผล ความจุของแรม เซ็นเซอร์ หรือแม้แต่จำนวนพิกเซลของกล้องดิจิทัล ทั้งหมดนี้เป็นข้อมูลสนับสนุนอย่างคร่าว ๆ (ยังมีกฎอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเช่นราคาต่อหน่วย) การพัฒนาของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มีผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กฎของมัวร์ได้อธิบายแรงการขับเคลื่อนของเทคโนโลยี ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 20 ไปจนถึงต้นศตวรรษที่ 21
ชื่อของกฎถูกตั้งตามชื่อของ อดีตซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทอินเทล กอร์ดอน มัวร์ (Gordon E. Moore) เขาได้อธิบายกฎนี้ไว้ในรายงานของเขาเมื่อปี 1965 รายงานนั้นได้ระบุไว้ว่า จำนวนของส่วนประกรอบในวงจรรวมจะเพิ่มเป็นเท่าตัวทุก ๆ ปี ตั้งแต่ปี 1958 ไปจนถึง 1965 และคาดว่าจะเป็นอย่างนี้ไปอีก "อย่างน้อยสิบปี" การทำนายของเขายังเป็นไปตามที่คาดไว้อย่างน่าประหลาดใจ อย่างน้อยกฎนี้ปัจจุบันยังถูกใช้ในอุตสาหกรรมสารกึ่งตัวนำที่ได้ถูกใช้เป็นแนวทางของแผนที่จะเป็นเป้าหมายของของการวิจัย และพัฒนา
บิตตรวจสอบ(Prarity Bit)
บิตตรวจสอบ(Prarity
Bit)
ถึงแม้เลขฐานสองใช้ในคอมพิวเตอร์ มีความผิดพลาดต่ำ เพราะมีค่าความเป็นไปได้
เพียง 0 หรือ 1 เท่านั้น
แต่ก็อาจเกิดข้อปกพร่องขึ้นได้ภายในหน่วยความจำ ดังนั้น บิตตรวจสอบ หรือ
บิตพาริตี้ จึงเป็นบิตที่เพิ่มเติมเข้ามาต่อท้ายอีก 1 บิตซึ่งถือเป็นบิตพิเศษที่ใช้สำหรับตรวจสอบความอม่นยำและความถูกต้องของข้อมูลที่จะถูกจัดเก็บลงในคอมพิวเตอร์
สำหรับบิตตรวจสอบ
จะมีวิธีการตรวจสอบอยู่ 2
วิธีด้วยกัน คือ
1.การตรวจสอบบิตภาวะคู่
(Even Parity)
2.การตรวจสอบบิตภาวะคี่(Odd Parity)
วันพุธที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
ข้อมูลรหัสacsllและunicode
แอสกี
แอสกี หรือ รหัสมาตรฐานของสหรัฐอเมริกาเพื่อการแลกเปลี่ยนสารสนเทศ (อังกฤษ: ASCII: American Standard Code for Information Interchange) เป็นรหัสอักขระที่ประกอบด้วยอักษรละติน เลขอารบิก เครื่องหมายวรรคตอน และสัญลักษณ์ต่างๆ โดยแต่ละรหัสจะแทนด้วยตัวอักขระหนึ่งตัว เช่น รหัส 65 (เลขฐานสิบ) ใช้แทนอักษรเอ (A) พิมพ์ใหญ่ เป็นต้น
ประวัติ
รหัสแอสกีมีใช้ในระบบคอมพิวเตอร์ และเครื่องมือสื่อสารแบบดิจิทัลต่างๆ พัฒนาขึ้นโดยคณะกรรมการ X3 ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของสมาคมมาตรฐานอเมริกา (American Standards Association) ภายหลังกลายเป็น สถาบันมาตรฐานแห่งชาติอเมริกา (American National Standard Institute : ANSI) ในปี ค.ศ. 1969 โดยเริ่มต้นใช้ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1967 ซึ่งมีอักขระทั้งหมด 128 ตัว (7 บิต) โดยจะมี 33 ตัวที่ไม่แสดงผล (unprintable/control character) ซึ่งใช้สำหรับควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์บางประการ เช่น การขึ้นย่อหน้าใหม่สำหรับการพิมพ์ (CR & LF - carriage return and line feed) การสิ้นสุดการประมวลผลข้อมูลตัวอักษร (ETX - end of text) เป็นต้น และ อีก 95 ตัวที่แสดงผลได้ (printable character) ดังที่ปรากฏตามผังอักขระ (character map) ด้านล่าง
รหัสแอสกีได้รับการปรับปรุงล่าสุดเมื่อ
ค.ศ. 1986 ให้มีอักขระทั้งหมด 256 ตัว (8 บิต) และเรียกใหม่ว่าแอสกีแบบขยาย
อักขระที่เพิ่มมา 128
ตัวใช้สำหรับแสดงอักขระเพิ่มเติมในภาษาของแต่ละท้องถิ่นที่ใช้ เช่น ภาษาเยอรมัน
ภาษารัสเซีย ฯลฯ โดยจะมีผังอักขระที่แตกต่างกันไปในแต่ละภาษาซึ่งเรียกว่า โคดเพจ (codepage) โดยอักขระ 128 ตัวแรกส่วนใหญ่จะยังคงเหมือนกันแทบทุกโคดเพจ
มีส่วนน้อยที่เปลี่ยนแค่บางอักขระ
ยูนิโคด
ยูนิโคด (อังกฤษ: Unicode) คือมาตรฐานอุตสาหกรรมที่ช่วยให้คอมพิวเตอร์แสดงผลและจัดการข้อความธรรมดาที่ใช้ในระบบการเขียนของภาษาส่วนใหญ่ในโลกได้อย่างสอดคล้องกัน ยูนิโคดประกอบด้วยรายการอักขระที่แสดงผลได้มากกว่า 100,000 ตัว พัฒนาต่อยอดมาจากมาตรฐานชุดอักขระสากล (Universal Character Set: UCS) และมีการตีพิมพ์ลงในหนังสือ The Unicode Standard เป็นแผนผังรหัสเพื่อใช้เป็นรายการอ้างอิง นอกจากนั้นยังมีการอธิบายวิธีการที่ใช้เข้ารหัสและการนำเสนอมาตรฐานของการเข้ารหัสอักขระอีกจำนวนหนึ่ง การเรียงลำดับอักษร กฎเกณฑ์ของการรวมและการแยกอักขระ รวมไปถึงลำดับการแสดงผลของอักขระสองทิศทาง (เช่นอักษรอาหรับหรืออักษรฮีบรูที่เขียนจากขวาไปซ้าย)
ยูนิโคดคอนซอร์เทียม
(Unicode
Consortium) ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร
เป็นผู้รับผิดชอบในการพัฒนายูนิโคด
องค์กรนี้มีจุดมุ่งหมายเกี่ยวกับการแทนที่การเข้ารหัสอักขระที่มีอยู่ด้วยยูนิโคดและมาตรฐานรูปแบบการแปลงยูนิโคด
(Unicode Transformation Format: UTF)
แต่ก็เป็นที่ยุ่งยากเนื่องจากแผนการที่มีอยู่ถูกจำกัดไว้ด้วยขนาดและขอบเขต
ซึ่งอาจไม่รองรับกับสภาพแวดล้อมหลายภาษาในคอมพิวเตอร์
ความสำเร็จของยูนิโคดคือการรวมรหัสอักขระหลายชนิดให้เป็นหนึ่งเดียว
นำไปสู่การใช้งานอย่างกว้างขวางและมีอิทธิพลต่อการแปลภาษาของซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์
นั่นคือโปรแกรมจะสามารถใช้ได้หลายภาษา
มาตรฐานนี้มีการนำไปใช้เป็นเทคโนโลยีหลักหลายอย่าง อาทิ เอกซ์เอ็มแอล ภาษาจาวา
ดอตเน็ตเฟรมเวิร์ก และระบบปฏิบัติการสมัยใหม่
ยูนิโคดสามารถนำไปใช้งานได้ด้วยชุดอักขระแบบต่าง ๆ ชุดอักขระที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดคือ UTF-8 (ใช้ 1 ไบต์สำหรับอักขระทุกตัวในรหัสแอสกีและมีค่ารหัสเหมือนกับมาตรฐานแอสกี หรือมากกว่านั้นจนถึง 4 ไบต์สำหรับอักขระแบบอื่น) UCS-2 ซึ่งปัจจุบันเลิกใช้แล้ว (ใช้ 2 ไบต์สำหรับอักขระทุกตัว แต่ไม่ครอบคลุมอักขระทั้งหมดในยูนิโคด) และ UTF-16 (เป็นส่วนขยายจาก UCS-2 โดยใช้ 4 ไบต์สำหรับแทนรหัสอักขระที่ขาดไปของ UCS-2
P 01010000
R 01010010
A 01000001
Y 01011001
A 01000001
T 01010100
วรรค 01000000
S 01010011
R 01010010
I 01001001
P 01010000
A 01000001
K 01001011
D 01000100
E 01000101
E 01000101
ใช้พื้นที่จัดเก็บจำนวน 128 bit 16 byte
วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2556
ยุคของคอมพิวเตอร์
2. ประวัติความเป็นมาของคอมพิวเตอร์ สามารถแบ่วออกได้เป็นยุคๆ ตามช่วงเวลา และมีเหตุการณ์สำคัญๆ รวมถึงจุดเปลี่ยนแปลงที่เด่นๆ ให้นักศึกษาค้นคว้า รวบรวมข้อมุล และสรุปสาระสำคัญ
ยุคของคอมพิวเตอร์ สามารถแบ่งได้เป็น 5 ยุค ดังนี้ คือ
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 1
อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2488 ถึง พ.ศ. 2501 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้หลอดสุญญากาศซึ่งใช้กำลังไฟฟ้าสูง จึงมีปัญหาเรื่องความร้อนและไส้หลอดขาดบ่อย ถึงแม้จะมีระบบระบายความร้อนที่ดีมาก การสั่งงานใช้ภาษาเครื่องซึ่งเป็นรหัสตัวเลขที่ยุ่งยากซับซ้อน เครื่องคอมพิวเตอร์ของยุคนี้มีขนาดใหญ่โต เช่น มาร์ค วัน (MARK I), อีนิแอค (ENIAC), ยูนิแวค (UNIVAC)
มาร์ค วัน
อินิแอค
ยูนิแวค
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 2
คอมพิวเตอร์ยุคที่สอง อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2502 ถึง พ.ศ. 2506 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้ทรานซิสเตอร์ โดยมีแกนเฟอร์ไรท์เป็นหน่วยความจำ มีอุปกรณ์เก็บข้อมูลสำรองในรูปของสื่อบันทึกแม่เหล็ก เช่น จานแม่เหล็ก ส่วนทางด้านซอฟต์แวร์ก็มีการพัฒนาดีขึ้น โดยสามารถเขียนโปรแกรมด้วยภาษาระดับสูงซึ่งเป็นภาษาที่เขียนเป็นประโยคที่คนสามารถเข้าใจได้ เช่น ภาษาฟอร์แทน ภาษาโคบอล เป็นต้น ภาษาระดับสูงนี้ได้มีการพัฒนาและใช้งานมาจนถึงปัจจุบัน
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 3
คอมพิวเตอร์ยุคที่สาม อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2507 ถึง พ.ศ. 2512 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้วงจรรวม (Integrated Circuit : IC) โดยวงจรรวมแต่ละตัวจะมีทรานซิสเตอร์บรรจุอยู่ภายในมากมายทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์จะออกแบบซับซ้อนมากขึ้น และสามารถสร้างเป็นโปรแกรมย่อย ๆ ในการกำหนดชุดคำสั่งต่าง ๆ ทางด้านซอฟต์แวร์ก็มีระบบควบคุมที่มีความสามารถสูงทั้งในรูประบบแบ่งเวลาการทำงานให้กับงานหลาย ๆ อย่าง
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 4 คอมพิวเตอร์ยุคที่สี่ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 จนถึงปัจจุบัน เป็นยุคของคอมพิวเตอร์ที่ใช้วงจรรวมความจุสูงมาก(Very Large Scale Integration : VLSI) เช่น ไมโครโพรเซสเซอร์ที่บรรจุทรานซิสเตอร์นับหมื่นนับแสนตัว ทำให้ขนาดเครื่องคอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลงสามารถตั้งบนโต๊ะในสำนักงานหรือพกพาเหมือนกระเป๋าหิ้วไปในที่ต่าง ๆ ได้ ขณะเดียวกันระบบซอฟต์แวร์ก็ได้พัฒนาขีดความสามารถสูงขึ้นมาก มีโปรแกรมสำเร็จให้เลือกใช้กันมากทำให้เกิดความสะดวกในการใช้งานอย่างกว้างขวาง
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 5
คอมพิวเตอร์ยุคที่ห้า เป็นคอมพิวเตอร์ที่มนุษย์พยายามนำมาเพื่อช่วยในการตัดสินใจและแก้ปัญหาให้ดียิ่งขึ้น โดยจะมีการเก็บความรอบรู้ต่าง ๆ เข้าไว้ในเครื่อง สามารถเรียกค้นและดึงความรู้ที่สะสมไว้มาใช้งานให้เป็นประโยชน์ คอมพิวเตอร์ยุคนี้เป็นผลจากวิชาการด้านปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) ประเทศต่างๆ ทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และประเทศในทวีปยุโรปกำลังสนใจค้นคว้าและพัฒนาทางด้านนี้กันอย่างจริงจัง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)